แสงแดดมีผลดีต่อสุขภาพ ช่วยให้ร่างกายสังเคราะห์วิตามินดี ช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัส ทำให้กระดูก ฟัน และเส้นผม แข็งแรง การถูกแดดยามเช้าเพียงสัปดาห์ละ 10-15นาที เพียงพอที่จะให้ร่างกายได้วิตามินดี แต่แดดที่แรงมากจะมีรังสีอัลตราไวโอเลตอยู่มาก ส่งผลให้ผิวเหี่ยวแก่ หมองคล้ำ และเป็นปัจจัยให้เกิดมะเร็งผิวหนัง
อัลตราไวโอเลต (Ultraviolet) หรือ ยูวี (UV) มี 3 ชนิด จำง่ายๆคือ A B C แบ่งตามความยาวคลื่น ดังนี้
UVA (320-400นาโนเมตร) ซึ่งมักทำให้เกิดความหมองคล้ำ หากได้รับนานๆจะส่งผลเสียเรื้อรังอื่น เช่น รอยย่น ฝ้า ซึ่งรักษาได้ยาก
UVB (290-320นาโนเมตร) ก่อให้เกิดกระ ผื่น และผิวแก่ลงได้ เมื่อได้รับมากๆจะมีโอกาสเป็นมะเร็งผิวหนัง
UVC (100-280นาโนเมตร) เป็นพลังงานความยาวคลื่นที่ถูกชั้นโอโซนทำลาย ซึ่งช่วงคลื่นเหล่านี้มีระดับพลังงานสูง หากผ่านมาถึงผิวโลกจะเป็นอันตรายต่อมนุษย์มาก ปัจจุบัน ชั้นโอโซนถูกทำลายลงไปมากทำให้อัตราการแผ่รังสีUVC ลงมาถึงผิวโลกมากขึ้น
การทาครีมกันแดดเป็นสิ่งที่ควรทำเป็นประจำ จากการสังเกตคนไข้ที่มีการปกป้องผิวจากแสงแดดอย่างเหมาะสมจะดูอ่อนวัยกว่าคนที่ไม่ปกป้องผิวอย่างน้อย5-7ปี
SPF ย่อมาจากคำว่า Sun Protection Factor เป็นค่าระบุระดับการปกป้องผิวจากรังสีUVB หรือให้เข้าใจง่ายคือจำนวนเท่าของเวลาที่ผิวทนต่อรังสีUVBได้ ก่อนจะเกิดผิวไหม้หลังทาผลิตภัณฑ์กันแดด การทาครีมกันแดดที่เหมาะสมคือให้ทาปริมาณ2มิลลิกรัมต่อพื้นที่ผิว1ตร.ซม.
โดยปกติผิวเราจะทนต่อรังสีUVBเมื่ออยู่กลางแดดได้ประมาณ20-30นาที ถ้าผลิตภัณฑ์กันแดดระบุไว้ว่า SPF50 หมายถึงเราสามารถอยู่กลางแดดได้นานประมาณ 30x50 =1,500 นาทีโดยที่ยังไม่เกิดผิวไหม้ แต่ทางปฏิบัติจริงตัวเลขอาจเปลี่ยนแปลงได้จากหลายๆปัจจัย เช่นทาผลิตภัณฑ์บางกว่าที่กำหนดหรือผลิตภัณฑ์ถูกชะล้างไปเมื่อเหงื่อออก โดนน้ำ หรือรังสีUVBในช่วงเวลาแต่ละสถานที่ไม่เท่ากัน
PA ย่อมาจากคำว่า Protection Grade of UVA เป็นค่าระบุระดับการปกป้องผิวจากรังสีUVA ป้องกันกระ ฝ้า รอยเหี่ยวย่นและความชราที่เกิดขึ้นจากแสงแดดซึ่งเป็นอิทธิพลจากUVA จึงควรเน้นดูค่าPAด้วย
Paมีด้วยกัน3ระดับคือ
PA+ ประสิทธิภาพป้องกันรังสี UVA ได้1-3เท่า
PA++ ประสิทธิภาพป้องกันรังสี UVAสูง ได้4-5เท่า
PA+++ ประสิทธิภาพป้องกันรังสี UVAสูงสุด ได้6-8เท่า